สรุปจากสิ่งที่คุณป๋อมแป๋มพูดในงาน “เวทีเสวนา ไลฟ์สไตล์ ความท้าทาย และการเรียนรู้ของคนรุ่นใหม่”
เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2560 ณ หอประชุมโรงเรียนสาธิตแห่งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จ.ปทุมธานี
พิธีกร: อยากให้เริ่มจากบอกว่าเรามีมุมมองต่อคนรุ่นใหม่อย่างไร?
ป๋อมแป๋ม: ในยุคปัจจุบันสิ่งหนึ่งที่เราเห็นคือ วัยรุ่นเริ่มมองหาคนที่ ‘ไม่ได้ดีพร้อม’ เหมือนอย่างตัวป๋อมแป๋มเอง ที่จะเรียกว่าเป็นไอดอลหรือแบบอย่างก็ไม่ได้นะ อาจเรียกว่าแรงบันดาลใจคงน่าจะใกล้เคียงสุด คือป๋อมแป๋มรู้สึกว่าคนรุ่นใหม่ไม่ได้ต้องการคนที่เลิศเลอ สะอาดหมดจด เป็นตัวอย่างอะไรทำนองนั้น แต่พวกเขาต้องการคนที่มี Flaws หรือข้อบกพร่อง ซึ่งเขาสามารถดีลกับข้อบกพร่องตรงนั้นได้ อย่างในรายการ “เทยเที่ยวไทย” ที่มีแต่กะเทยและแต่ละคนก็มีข้อเสียหลายอย่าง แต่พวกเขาก็ดีลกับเราได้ คือป๋อมแป๋มคิดว่า พวกเขามองหา ‘คน’ ไม่ได้มองหา ‘เทพ’
ป๋อมแป๋ม: สังคมไทยมักอยากจะให้วัยรุ่นหมดจด ผ่องแผ้วนพคุณ แต่ป๋อมแป๋มคิดว่าวัยรุ่นไม่มีทางเป็นอย่างนั้นได้อ่ะ เราก็เลยคิดว่าพวกเขาคงมองหาคนที่มี ‘สิ่งสกปรก’ แต่ขึ้นอยู่กับว่าคน ๆ นั้นจะจัดการความสกปรกของตัวเองอย่างไร จะเชิดชูสิ่งที่ดีอะไรออกมา ซึ่งคนรุ่นใหม่กำลังมองตรงนั้นอยู่ อย่างป๋อมแป๋มก็มีข้อเสียค่อนข้างเยอะ แต่คนรุ่นใหม่อาจจะมองเราเป็นแรงบันดาลใจในฐานะคนที่ทำงานหนัก คิดเยอะ ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะหยิบส่วนใดของเราไป
พิธีกร: อยากให้ลองเปรียบเทียบให้ฟังหน่อยได้ไหมว่า ยุคสมัยของเรากับยุคสมัยนี้มันมีความแตกต่างกันอย่างไร เราสังเกตเห็นอะไรบ้าง?
ป๋อมแป๋ม: ป๋อมแป๋มเคยอ่านเจอทฤษฏีหนึ่งที่เรียกว่า Technological Determinism หมายความว่า อะไรที่มันเป็นเทคโนโลยีหลักในยุคนั้น มันจะ Shape นิสัยเรา ซึ่งป๋อมแป๋มคิดว่าชัดมาก คนรุ่นป๋อมแป๋มสื่อหลักคือโทรทัศน์ เราจะมีผังรายการที่ต้องดูตามเวลา แต่เด็กสมัยนี้เขาโตมากับอินเตอร์เน็ต อยากดูอะไรก็ดูได้เดี๋ยวนั้น มันเลยทำให้พวกเขาไม่มี Timetable ในหัว อย่างเมื่อก่อนเรานัดกับเพื่อนบ่ายสอง ถ้ามันมาบ่ายสองสิบห้า นี่คือหูหนาตาเล่อแล้ว แต่คนรุ่นนี้จะใช้แบบ ‘ใกล้ถึงเดี๋ยวโทรไป’ เรื่องการจัดการเวลาของเด็กวัยรุ่น ป๋อมแป๋มว่าเราคงต้องมาคิดกันใหม่
พิธีกร: ถ้าจะให้แนะนำเรื่องที่คนรุ่นใหม่จำเป็นต้องรู้และเข้าใจ สิ่งที่คิดว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนเลยคืออะไร?
ป๋อมแป๋ม: ป๋อมแป๋มคิดว่า เด็กสมัยนี้รู้ไปหมด ชอบคอมเมนต์สิ่งต่าง ๆ แต่พอเจอคำถามหนึ่งที่ได้ยินแล้วหูหนาตาเล่อทันทีคือ “ฝันอยากเป็นอะไร?” เราอาจจะเปิดพื้นที่ให้เด็กไปแตะทุกอย่าง แต่กลับลืมให้เด็กหันมามองข้างในของตัวเองรึเปล่า
พิธีกร: แล้วถ้าเด็กถามว่าทำไมฉันต้องเข้าใจตัวเอง ป๋อมแป๋มจะตอบว่าอย่างไร?
ป๋อมแป๋ม: มันจำเป็นน่ะ ไม่มีเหตุผลอะไรทั้งนั้น คือ ไม่อย่างนั้นมันจะช้ากว่าคนอื่นเขา อย่างสมัยเราเรียนมัธยมจบ จะต่อมหาวิทยาลัย เราก็ค่อนข้างชัดเจนว่าเราจะเรียนอะไรต่อ แต่สมัยนี้เด็กต้องได้คะแนนก่อนแล้วค่อยมาเลือกด้วยซ้ำไป แล้วเรียนจบไปต้องการจะทำงานอะไรก็ยังไม่รู้ ถ้าเด็กไม่เข้าใจตัวเอง ก็จะเสียเวลาไปอีกในช่วงอายุ 20-30 ปี แล้วก็อาจจะได้คำตอบมาว่า “หนูอยากเป็นฟรีแลนซ์”ซึ่งฟรีแลนซ์ไม่ใช่อาชีพ แต่เป็นรูปแบบการจ้างงาน เขาจ้างหนูเข็นผัก หนูก็เป็นฟรีแลนซ์ มันก็เลยจะงง ๆ อะไรแบบนี้
ป๋อมแป๋ม: อีกอย่างเรารู้สึกว่า เด็กสมัยนี้น่ะรู้แต่ว่าเขาไม่ชอบอะไร แต่เขาไม่ได้ลงมือทำอะไรอย่างลึกซึ้ง บางครั้งก็คิดเอาเองว่าฉันชอบนั่นไม่ชอบนี่ อยู่ในหัวหมดเลย เวลาพูดถึงการทำงานบริษัท เด็กก็จะแหยง ๆ ไม่เอาอ่ะ ทั้ง ๆ ที่ทำงานบริษัทดีจะตาย อย่างผ่าตัดไตก็ไม่เสียเงินสักบาท ลองมาทำสิ อาจจะชอบก็ได้นะ (ฮา) คืออยากให้ลองทำจริง ๆ ดูก่อน ไม่ใช่แค่คิดเอาหรือทำแค่แบบแตะ ๆ ไม่ชอบก็ค่อยตัดช้อยส์ออกไปก็ได้
พิธีกร: สำหรับคำถามสุดท้าย อยากรู้ว่าถ้าเราจะเริ่มต้นทำงานกับคนรุ่นใหม่ เราจะจัดการอย่างไร? เราจะ Setting การทำงานอย่างไร? อยากให้ช่วยแบ่งปันประสบการณ์ให้ฟังหน่อยครับ
ป๋อมแป๋ม: ป๋อมแป๋มคิดว่าสิ่งที่จำเป็นคือสำหรับเราคือทักษะการประเมิน เราต้องรู้ว่าเขาทำอะไรแล้วเวิร์ค ทำอะไรแล้วไม่เวิร์ค อย่าพยายามดันทุรังให้เขาทำในสิ่งเขาทำได้ไม่ดี เราควรมีสายตาที่รู้ว่าเขาควรพอกับเรื่องนั้น ๆ แค่นี้นะ แต่ถ้าบางอย่างที่ไปได้ดีจริง ๆ เราก็ควรส่งเสริม และให้เขารู้จักกับความสุขกับการที่ได้พัฒนาทักษะนั้นให้เก่งขึ้น ซึ่งมันเป็นความสุขที่ยั่งยืน แล้วสุดท้ายเขาก็จะใช้ความเก่งเพื่อผู้อื่น แบ่งปันให้กับผู้อื่น คือเราอย่าเป็นแค่ Provider แต่ควรช่วยเขาประเมินด้วย