“ก็เคยสัญญา เป็นมั่นเป็นหมาย” แหม่ เริ่มต้นบทความด้วยเพลงของพี่อัสนี-วสันต์ กันเลยทีเดียว ตามที่บอกไว้ใน EP. แรกว่าเราจะพูดถึงระบบที่อยู่เบื้องหลังบิทคอยน์ หรือที่เรียกกันว่า “บล็อกเชน (Blockchain)” กันในตอนที่ 2 และเช่นเคยเราจะทำให้มันเข้าใจง่ายมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเจอกับศัพท์เทคนิคบ้างนะ
ถึงแม้บล็อกเชนจะเข้าใจยากกว่าบิทคอยน์ แต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป เราจะดำเนินบทความนี้ด้วยการตั้งคำถามง่าย ๆ แบบที่คนทั่วไปสงสัย เพื่อค่อย ๆ คลี่คลายความซับซ้อนของบล็อกเชนออกมา งั้นเรามาเริ่ม ตอนที่ 2 กันเลยดีกว่า (ทำใจไว้ก่อนนะว่ามันค่อนข้างยาว)
-
“บิทคอยน์กับบล็อกเชนคืออย่างเดียวกันรึเปล่า?”
ใครที่กำลังคิดแบบนี้อยู่ขอให้เลิกคิด ณ บัดนาว บิทคอยน์กับบล็อกเชนไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ดังนั้นขอให้ทุกคนแยกทั้งสองอย่างนี้ออกจากกันก่อน บิทคอยน์คือเงินดิจิตอล ส่วนบล็อกเชนก็คือระบบที่อยู่เบื้องหลังบิทคอยน์ เข้าใจตรงกันนะ!
-
“แล้วที่บอกว่าบล็อกเชนคือระบบที่อยู่เบื้องหลังบิทคอยน์ ตกลงมันคืออะไรกันแน่?”
เอาอย่างนี้ก่อน ปกติเวลาเราต้องการทำธุรกรรมทางการเงิน เราจะทำผ่านตัวกลางซึ่งก็คือธนาคารที่ทำหน้าที่เป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่ ธนาคารจะเป็นผู้ตรวจสอบความถูกต้องและดูแลการใช้จ่ายเงินของทุกบัญชีแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเราเรียกระบบแบบนี้ว่าเป็นระบบแบบรวมศูนย์
ทีนี้มันก็มีคนคิดว่า ถึงแม้ธนาคารจะไว้ใจได้ก็จริง แต่ก็เก็บค่าธรรมเนียมแพง แล้วถ้าหากวันหนึ่งธนาคารเกิดเจ๊งขึ้นมา เงินของเราที่อยู่ในนั้นจะเป็นยังไง เรามาหาวิธีที่ไม่ต้องพึ่งธนาคารในการซื้อขายแลกเปลี่ยน และทำให้ผู้ใช้งานก็มีความปลอดภัยในทรัพย์สินด้วยดีกว่า นี่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เรียกว่า “บล็อกเชน (Blockchain)”
บล็อกเชน จึงเป็นระบบฐานข้อมูลที่ตัดคนกลางออกไป แล้วให้อำนาจแก่ผู้ใช้งานทุกคนในการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมทางการเงินกันเอง หมายความว่า แต่เดิมที่ธนาคารจะเป็นผู้ครอบครองรายการเดินบัญชีแค่คนเดียว (Centralized Ledger) บล็อกเชนเลือกที่จะมอบรายการเดินบัญชีแก่ผู้ใช้งานทุกคน (Distributed Ledger) และรายการเดินบัญชีนี้จะอัพเดทตัวมันเองพร้อมกับของคนอื่นตลอดเวลา ทุกคนสามารถรับรู้ที่มาที่ไปของเงินในบัญชีนั้น ๆ ได้ตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงล่าสุด
-
“อ๋อ…ง่าย ๆ ก็คือ บล็อกเชนทำให้ฐานข้อมูลอยู่ในมือของผู้ใช้งานทุกคน ถูกมั้ย? แล้วมันจะทำงานยังไงในเมื่อไม่มีคนกลาง?”
ถูกต้อง และในเมื่อบล็อกเชนตัดคนกลางเจ้าปัญหาออกไปแล้ว คนที่จะขับเคลื่อนระบบก็คือผู้ใช้งานด้วยกันเองนี่แหละ โดยเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้งานจะมีสถานะเป็นโหนด (Node) หรือก็คือฐานข้อมูลบล็อกเชนที่อยู่ในเครื่องของเรา แต่ละโหนดจะเชื่อมโยงกันเพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อมูล ยกตัวอย่างเช่น
บอสอัพ โซลูชั่นโอนเงินจำนวน 4 บิทคอยน์ ให้แก่ลำไย ไหทองคำ เป็นค่าเล่นคอนเสิร์ต
เริ่มแรก ลำไย ไหทองคำสามารถดูได้ว่าบอสอัพฯมีเงิน 4 บิทคอยน์จริงหรือเปล่า ด้วยการตรวจสอบบัญชีของบอสอัพฯก่อน เสร็จแล้วก็ให้บอสอัพฯโอนเงินมายังบัญชีของตัวเอง เมื่อทำการโอนเงินเสร็จ (ระหว่างนี้เงินจะยังไม่ถูกย้ายข้ามบัญชี) ข้อมูลการโอนเงินก็จะถูกส่งไปยังโหนดอื่น เพื่อยืนยันความถูกต้องของการโอนครั้งนี้ และเมื่อมีโหนดอื่น ๆ ขานรับอย่างน้อย 6 โหนด ก็จะถือว่าการโอนนี้สำเร็จ
สำหรับการบันทึกข้อมูลของบล็อกเชนนั้น เมื่อมีการทำธุรกรรมทางการเงินเกิดขึ้น ข้อมูลต่าง ๆ จะถูกบรรจุใส่กล่องหรือบล็อก ซึ่งเจ้ากล่องตัวนี้จะสร้างตัวมันเองทุก ๆ 10 นาทีในเครือข่ายของบล็อกเชน ดังนั้นธุรกรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วง 10 นาทีนั้นทั้งหมด จะถูกจับยัดลงกล่องดังกล่าว เมื่อครบ 10 นาที ระบบก็จะสร้างกล่องใหม่ไปเรื่อย ๆ โดยเชื่อมโยงกับกล่องก่อนหน้า นี่จึงเป็นที่มาของ บล็อกเชน หรือ กล่องที่ร้อยเรียงกันเป็นลูกโซ่
-
“ตั้งสติแป๊บ สรุปคือ บล็อกเชนทำงานโดยอาศัยความร่วมมือจากโหนดอื่น ๆ เพื่อยืนยันความถูกต้องของธุรกรรม และบันทึกข้อมูลลงกล่องในระบบที่สร้างตัวมันเองทุก 10 นาทีนั่นสินะ แล้วเรื่องความปลอดภัยล่ะ ถ้ามีคนแอบเล่นลูกไม้ เช่น แก้ไขข้อมูล หรือ โอนเงินก้อนเดียวกันเข้า 2 บัญชี จะเป็นยังไง?”
อย่างที่บอกไปแล้วว่า โหนดของเราเชื่อมต่อกับโหนดของคนอื่น เราจึงสามารถตรวจสอบได้ว่าบัญชีของคู่ค้ามีเงินจริงหรือไม่ แล้วเงินนั้นมาจากไหน ได้มาอย่างไร การที่เขาจะแก้ไขบัญชีตัวเองเพื่อหลอกคนอื่นจึงเป็นไปได้ยาก หรือจะถึงขั้นแก้ไขข้อมูลที่อยู่ในกล่องก็ยิ่งแทบเป็นไปไม่ได้ใหญ่ เพราะแต่ละกล่องเชื่อมโยงกันเป็นลูกโซ่ เช่น จะแก้ไขกล่อง A ก็ต้องแก้ไขกล่องที่อยู่ก่อนหน้า A ที่มีจำนวนมหาศาลด้วย ไหนจะกล่องใหม่ที่มาต่อท้ายกล่อง A อีก มันจึงทำได้ยากมาก (ก ไก่ล้านตัว)
ส่วนเรื่องการโอนเงินก้อนเดียวกันเข้า 2 บัญชี (Double Spending) อย่างที่บอกไปว่าธุรกรรมทางการเงินที่เกิดขึ้นภายใน 10 นาทีนั้นจะถูกบันทึกลงกล่องใบปัจจุบัน ซึ่งเงินจะยังไม่ถูกโยกย้ายจนกว่าจะเริ่มกล่องใหม่ (และมีโหนดอื่นยืนยันขั้นต่ำ 6 โหนด) สมมติว่าคู่ค้าของเรามีเงิน 10 บิทคอยน์ และโอนเงินจำนวนนั้นมาให้เรา เงินก้อนนั้นจะยังไม่ถูกโอนมาทันที ระหว่างนั้นเขาสามารถนำเงิน 10 บิทคอยน์ไปซื้ออย่างอื่นอีกก็ได้ และเมื่อเกิดเหตุการณ์แบบนี้ บล็อกเชนก็จะเลือกธุรกรรมใดธุรกรรมหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเงินอาจไม่ได้ถูกโอนมายังบัญชีของเราก็ได้ วิธีป้องกันก็ง่ายนิดเดียว คือ รอให้มันสร้างกล่องใหม่ก่อน (ประมาณ 10 นาที) และดูว่าเงินถูกโอนมายังบัญชีของเรารึยัง ถ้าโอนมาแล้ว เราก็ค่อยดำเนินการส่งของ หรืออะไรก็ตามที่ตกลงกันไว้
-
“เท่าที่ดูแล้ว คงเป็นไปไม่ได้เลยสินะที่จะโกงบล็อกเชน ส่วนเรื่องการโอนเงินซ้อน ก็ป้องกันด้วยการรอแค่ 10 นาที”
อื้ม สำหรับตอนนี้ก็เรียกได้ว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย บล็อกเชนถึงได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ถึงขนาดเรียกได้ว่า บล็อกเชนอาจจจะก้าวขึ้นมาปฏิวัติวงการการเงินโลกเลยทีเดียว แต่อันที่จริงแล้วบล็อกเชนสามารถทำอะไรได้หลายอย่าง แต่ในที่นี้เราพูดถึงมิติทางการเงินเพียงอย่างเดียว
-
“ขอสั้น ๆ บล็อกเชนมันดียังไง”
– แก้ไขไม่ได้ (Immutable) : การแก้ไขข้อมูลที่มีคนหลายร้อยล้านคนถืออยู่ หรือแงะกล่องที่มีจำนวนเป็นอนันต์เป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้เลย
-มีความโปร่งใส (Transparency) : ทุกคนสามารถตรวจสอบธุรกรรมทางการเงินของคู่ค้าได้ด้วยตัวเองโดยเชื่อมโยงกับโหนดอื่น ๆ เพื่อช่วยยืนความถูกต้องของข้อมูล
-พร้อมใช้งานตลอดเวลา (Availability) : ถ้าเซิร์ฟเวอร์ของธนาคารล่ม ระบบของธนาคารก็จะใช้งานไม่ได้ไปเลย แต่กับบล็อกเชนที่ทุกคนมีฐานข้อมูลหมด แม้จะล่มไปบางส่วน ก็ยังสามารถใช้งานได้
-
“โอเคน่าสนใจดี แล้วเรื่องการหาเงินบิทคอยน์ล่ะ เมื่อไหร่จะบอก รออยู่เนี่ย!”
ใจเย็น อย่าพึ่งหัวร้อนดิ สำหรับตอนต่อไปเราจะพูดถึงสิ่งที่หลายคนอยากรู้กันมาก นั่นก็คือ การขุดบิทคอยน์ (Bitcoin Mining) เราจะมาดูกันว่ามันทำงานอย่างไร? ใช้อุปกรณ์และโปรแกรมอะไรบ้าง? มีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน? และคุ้มค่าต่อการลงทุนไหม? อย่าลืมติดตามตอนต่อไปกันนะ
_______________________________________________________________________________
อ่านซีรี่ย์ทั้งหมด
EP.1 บิทคอยน์คืออะไร?
EP.2 บล็อกเชนคืออะไร?
EP.3 การขุดบิทคอยน์คืออะไร?
EP.4 อีเธอเรียมคืออะไร?