นับตั้งแต่ EP.1 – EP.3 เราก็พาทุกคนไปรู้จักกับธุรกิจสตาร์ทอัพกันไปเรียบร้อยแล้ว รวมถึงซิลิคอนวัลเลย์ ดินแดนอันต้นกำเนิดของสตาร์ทอัพที่ยิ่งใหญ่ในปัจจุบัน และใน EP.4 ที่ทุกคนกำลังอ่านอยู่นี้ เราจะบอกถึงคุณสมบัติสำคัญของผู้ที่ต้องการทำสตาร์ทอัพ รวมถึงขั้นตอนวิธีการที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง
คำว่า “Unicorn” เริ่มต้นที่ “U” ตัวแรก
“U/You” แปลว่า “คุณ” นั่นหมายความว่า การที่จะเริ่มทำอะไรอย่างจริงจังสักอย่าง มันต้องเริ่มต้นจากตัวคุณเองก่อนเสมอ
ข้อแรก คุณต้องมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าว่าคุณต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจสตาร์ทอัพอย่างแท้จริง คุณอยากเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เป็นอยู่ให้ดีขึ้น อยากแก้ปัญหาให้กับผู้อื่น ไม่ใช่เพียงแค่คิดว่ามาทำตรงนี้แล้วมันรวยเร็วดี ซึ่งนี่เป็นความคิดที่ผิดมหันต์
ข้อถัดมา คุณต้องค้นหาสิ่งที่ตัวคุณหลงใหลและอยากทำสำเร็จให้เจอ จะรู้ได้ไงว่าเจอสิ่งที่เราหลงใหลแล้ว? คำตอบ คือ คุณจะคิดถึงมันแทบตลอดเวลา มีความสุขที่ได้คิดได้ทำเกี่ยวกับสิ่งนั้น อยากเห็นมันดีขึ้นเรื่อย ๆ และพร้อมที่จะอุทิศชีวิตและเวลาให้กับมันโดยไม่รู้สึกเสียดาย
ข้อสุดท้าย (แต่ไม่ท้ายสุด) คุณต้องพร้อมรับมือกับความล้มเหลวที่จะเกิดขึ้น ถ้าคุณคิดอยากเป็นเจ้าของสตาร์ทอัพ ให้เก็บความสำเร็จไว้ในส่วนลึกของหัวใจได้เลย เพราะสิ่งที่คุณจะเจอคือความผิดพลาดและความล้มเหลวซะเป็นส่วนใหญ่ แต่การเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาดและล้มเหลวนี่แหละ ที่จะทำให้คุณสำเร็จในอนาคต ดังนั้นทำใจไว้ได้เลยว่าคุณไม่สำเร็จตั้งแต่ First-Try แน่นอน
อันที่จริงยังมีคุณสมบัติอื่นอีกที่สำคัญ แต่ว่าคุณสมบัติสามข้อที่กล่าวมาถือเป็นแกนหลักที่ผู้ที่ทำสตาร์ทอัพจำเป็นต้องมี มีอย่างอื่นแต่ไม่มีสามข้อนี้ การทำสตาร์ทอัพให้สำเร็จก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย
“ความปรารถนาที่จะทำ ความหลงใหลในสิ่งที่ทำ และความไม่ย่อท้อต่อความล้มเหลว
คือ หัวใจสำคัญของผู้ที่ทำสตาร์ทอัพ”
ถ้าคุณมีครบสามข้อ ก็ถึงเวลาลงมือทำเสียที
แอนนา วิทัล (Anna Vital) ผู้เคยร่วมงานกับ Google, Cisco และ World Bank ได้สรุปวิธีการทำสตาร์ทอัพแบบเป็น Step by Step ทั้งหมด 14 ขั้นตอน เพื่อให้ผู้ที่ต้องการริ่เริ่มสตาร์ทอัพสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง
Step 1: จงล้ำหน้ากว่าปัจจุบัน (Live in the Future, ahead of your time.)
คือการคิดให้ไกลกว่าสิ่งที่เป็นอยู่ จินตนาการถึงสิ่งที่เราอยากให้มีในอนาคต
Step 2: ดูว่าโลกใบนี้ขาดหายอะไรไป? (What is missing in the World?)
ลองพิจารณาดูว่าสิ่งที่เราอยากให้มีอนาคต มันเป็นสิ่งที่โลกใบนี้ต้องการรึเปล่า มันสามารถเติมเต็มโลกใบนี้ได้หรือไม่
Step 3: เขียนสิ่งที่เราคิดและตกผลึกมันออกมาก (Write it down and bounce ideas around.)
ไอเดียที่ดีต้องไม่ใช่ไอเดียที่ลอยฟุ้งอยู่ในหัว แต่เราต้องสามารถอธิบายและตกผลึกไอเดียนั้นได้ด้วย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางทำให้เป็นจริงได้
Step 4: สร้างผลิตภัณฑ์ตัวต้นแบบ (Make a Prototype)
เมื่อทุกอย่างพร้อมสรรพ ก็ถึงเวลาเปลี่ยนนามธรรมให้เป็นรูปธรรม ลองทำตัวต้นแบบของสิ่งที่เราคิดออกมา
Step 5: แสดงตัวต้นแบบแก่คน 100 คน (Show the prototype to 100 people.)
เมื่อทำเสร็จ ก็ลองเอาไปแสดงให้คนอื่นดู เทสต์ผลิตภัณฑ์ให้พวกเขาเห็น แล้วรับฟังฟีดแบ็คจากพวกเขาว่าตัวต้นแบบมีข้อดี-ข้อเสียตรงไหนบ้าง จุดไหนที่ควรจะปรับปรุง รวมถึงความคาดหวังของพวกเขาที่มีต่อผลิตภัณฑ์ของเรา
Step 6: ปรับปรุงตัวต้นแบบจนกว่ามันจะเข้าที่ (Iterate on the prototype until it makes sense.)
รับคำติชมทั้งหลายทั้งมวลมาปรับปรุงตัวต้นแบบของเราให้มันดียิ่งขึ้น ตอบสนองต่อความต้องการมากขึ้น
Step 7: เสาะแสวงหาผู้ร่วมก่อตั้ง (Find a Co-Founder)
การทำสตาร์ทอัพให้สำเร็จด้วยตัวเองเพียงคนเดียวเป็นเรื่องยาก ดังนั้นการหาเพื่อนร่วมอุดมการณ์จึงเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้ตัวผลิตภัณฑ์เลยทีเดียว การได้ผู้ร่วมก่อตั้งที่มีความสามารถและมีความทุ่มเทไม่แพ้คุณ สตาร์ทอัพของคุณก็เริ่มมีหวังแล้ว
Step 8: จดทะเบียนบริษัทและแบ่งหุ้นส่วน (Register your C-Corp, Split equity)
ถ้าเป็นไปได้ ก็หาทนายมาจัดการเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ และแบ่งหุ้นส่วนบริษัทให้กับผู้ร่วมก่อตั้งในระดับที่เราและเขาพอใจ พร้อมจะลุยงานหนักไปด้วยกันได้
Step 9: แสวงหาทุนสนับสนุนและพัฒนาตัวต้นแบบออกมาเป็นเวอร์ชั่นสมบูรณ์รุ่นแรก (Look for funding and build version one at the same time.)
นำโปรเจคของเราไปลงตามเว็บ Crowdfunding เช่น Kickstarter, GoFundMe หรือ Crowdrise เป็นต้น หรือนำไปเสนอกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการเงินร่วมลงทุน (Venture Capital: VC) เพื่อระดมทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นเวอร์ชั่นสมบูรณ์
Step 10: ปล่อยของ และป่าวประกาศว่าผลิตภัณฑ์เราสมบูรณ์แล้ว (Launch – Let everyone know you have made something.)
ได้เวลาปล่อยของตัวสมบูรณ์ออกมา และแจ้งให้ทุกคนที่ติดตามผลงานเรารู้รับทราบว่าผลิตภัณฑ์ของเราพร้อมใช้งานจริงแล้ว
Step 11: ติดตามผลตอบรับจากผู้ใช้งานและดูว่าพวกเขากลับมาหาเรารึเปล่า (Follow Up with User. Are they coming back?)
ตรวจดูว่ากระแสเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของเราเป็นยังไงบ้าง ผู้ใช้งานโอเคกับมันมากน้อยแค่ไหน แล้วพวกเขากลับมาหรือเปล่า ถ้ากลับมา ไปต่อที่ Step 12 ได้ ถ้าไม่กลับมา ก็ดูว่าเป็นเพราะอะไร ปรับปรุงผลิตภัณฑ์ใหม่แล้วย้อนกลับไปที่ Step 10 (สตาร์ทอัพชื่อดังอย่าง Airbnb ทำการ Launch ทั้งหมด 3 ครั้งกว่าจะสำเร็จ)
Step 12: มุ่งสู่การมีผู้ใช้งานให้ได้ 1,000 คน (Get to 1,000 Users.)
ถ้าเราทำให้ผู้ใช้งานรุ่นแรกกลับมาหาเราได้ การเพิ่มผู้ใช้งานให้ถึง 1,000 คน ก็ไม่ใช่เรื่องยากนัก
Step 13: เพิ่มจำนวนผู้ใช้งานให้ได้ 5% ต่อสัปดาห์ ยากก็จริงแต่พิสูจน์แล้วว่าเป็นไปได้ (Grow 5% a week. {Hard, but proven possible})
หลังจากนั้นจงทำการตลาด พัฒนาฟีเจอร์ของผลิตภัณฑ์ ตลอดจนใช้กลยุทธ์ร้อยแปดพันประการเพื่อเพิ่มฐานผู้ใช้งานให้ได้อย่างน้อย 5% ต่อสัปดาห์
Step 14: รักษาการเติบโตต่อไปเรื่อย ๆ ในอีก 4 ปีข้างหน้าคุณจะมีผู้ใช้งาน 25 ล้านคน (Keep growing for another 4 years, and at that rate you will reach 25 million users.)
หากทำได้ตามนี้ก็ถือได้ว่าสตาร์ทอัพของเราประสบความสำเร็จแล้ว ที่เหลือก็อยู่ที่ว่าเราจะรักษาความสำเร็จไปได้อีกนานแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ขั้นตอนสำเร็จรูปที่จะการันตีว่าสตาร์ทอัพของคุณจะประสบความสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ และไม่ใช่หนทางเดียวในการทำสตาร์ทอัพ Anna Vital เพียงแต่เสนอว่าคุณควรทำอะไรในแต่ละช่วงเวลาเท่านั้น
[บทส่งท้าย]
การทำสตาร์ทอัพไม่มีวิธีการทำที่ตายตัว ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จแต่ละคน ต่างก็มีวิธีการเป็นของตัวเองในแง่รายละเอียด แต่ที่แน่นอนคือ พวกเขาเหล่านั้นล้วนเคยลิ้มรสกับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แต่ด้วยจิตใจที่มุ่งมั่นและการรู้จักเรียนรู้จากความล้มเหลวที่ผ่านมา ทำให้ท้ายที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จจนได้
หวังว่าซีรี่ย์สตาร์ทอัพของเราทั้งหมด 4 ตอน จะช่วยทำให้ใครหลายคนรู้จักกับสตาร์ทอัพมากขึ้น หรือกระทั่งจุดประกายความฝันในการทำสตาร์ทอัพ เราก็ปลื้มปิติอย่างหาที่สุดมิได้แล้ว
The End.
———————————-
EP.1 สตาร์ทอัพคืออะไร?
EP.2 ประเภทของสตาร์ทอัพ
EP.3 รู้จักกับซิลิคอนวัลเลย์
EP.4 ได้เวลาเริ่มต้นทำสตาร์ทอัพ