ระบบขับขี่อัตโนมัติของ Tesla กลับมาถูกจับตาอีกครั้ง หลังจากศาลในสหรัฐฯ อนุญาตให้คดีความเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับการใช้ระบบนี้เข้าสู่การพิจารณาคดี คดีนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องของความรับผิดทางกฎหมายเท่านั้น แต่สะท้อนถึงคำถามใหญ่ที่ยังไม่มีคำตอบชัดเจน ว่าเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติมีความสามารถเพียงพอแล้วหรือยังสำหรับการใช้งานจริงบนท้องถนน?

 

Tesla ระบุอย่างชัดเจนว่า Autopilot เป็นระบบช่วยเหลือผู้ขับ ไม่ใช่ระบบที่สามารถขับรถเองได้ทั้งหมดแบบ Full Self-Driving ผู้ขับยังคงต้องจับพวงมาลัยและมีสมาธิกับถนนตลอดเวลา แต่ในทางปฏิบัติ ผู้ใช้งานหลายคนอาจตีความคำว่า Autopilot เกินกว่าความสามารถจริงของระบบ โดยเชื่อว่ารถสามารถจัดการทุกอย่างแทนได้ ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงหลายครั้งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

 

เหตุการณ์เหล่านี้ยังสะท้อนถึงช่องว่างระหว่างความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีกับพฤติกรรมของผู้ใช้ ที่อาจคาดหวังเกินความสามารถของระบบ แม้ Tesla จะพัฒนาอย่างต่อเนื่องและปล่อยซอฟต์แวร์อัปเดตสม่ำเสมอ แต่ก็ยังไม่ได้ใกล้เคียงกับการเป็นระบบ Full Self-Driving ที่คนขับไม่ต้องสนใจสถานการณ์บนท้องถนนเลยแม้แต่น้อย

 

ขณะเดียวกัน การตัดสินใจของศาลในการพิจารณาคดีนี้อาจเป็นหมุดหมายสำคัญสำหรับอนาคตของเทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ ไม่เพียงแต่ Tesla เท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้เล่นอื่นในตลาดที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยีด้านนี้เช่นกัน

 

การสร้างสมดุลระหว่าง “นวัตกรรม” กับ “ความปลอดภัยของสาธารณชน” จึงเป็นเรื่องที่อุตสาหกรรมยานยนต์ต้องเผชิญอย่างจริงจังมากขึ้นในยุคที่รถยนต์กำลังเปลี่ยนจากเครื่องยนต์สู่ซอฟต์แวร์

 

ที่มา: https://www.cnbc.com/2025/07/31/tesla-autopilot-plaintiffs-seek-345-million-over-fatal-florida-crash.html